วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

30 ปีครึ่งกับสีเขียว


คงจะเป็นเนื้อหาที่สืบต่อมาจากบทความเรื่อง "เข้ารั้วสีเขียว" เพราะช่วงเวลานั้นเป็นการรับราชการตาม พ.ร.บ.เกณฑ์ทหารฯ ดังนั้น ในช่วงบ่ายของวันที่ 30 เมษายน 2522 จึงจบสิ้นภารกิจในการรับใช้ชาติลง หลังจากรับเอกสารใบกองหนุน เคลียร์เรื่องเงินเดือนเบี้ยเลี้ยง ชำระหนี้สินร้านค้าเสร็จเรียบร้อย ก็เบิกรับเสื้อผ้าชุดพลเรือนที่เคยใส่เดินเข้ามาในรั้วสีเขียวเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2520 กลับคืนมา เป็นกางเกงยีนส์ขาสั้น กับเสื้อยืดคอกลมสีขาว เดินทางออกจากค่ายทหารอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมกับเงินสดที่เหลืออยู่ 70 บาท(ยืนยันว่า 70 บาทเท่านั้นจริงๆ) พร้อมกับเป้สีเขียวมีเครื่องแบบทหารชุดเก่า 2 ชุดกับเสื้อยืดคอกลมสีขี้ม้าอีก 3 ตัวรองเท้าคอมแบท 1 คู่กระโดดขึ้นรถเมล์ออกจากอรัญประเทศตรงกลับบ้านที่อำเภอเมือง ปราจีนบุรี

ความคิดที่จะพักผ่อนซักพักแล้วค่อยไปตระเวณหางานทำกลับล้มเหลวเพราะหน่วยต้นสังกัดเดิมส่งชื่อไปเข้าศึกษา นักเรียนนายสิบทหารบกหลักสูตร 2 ปี รุ่นที่ 12 ที่โรงเรียนนายสิบทหารบก ค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใน 9 พฤษภาคม 2522 โดยบรรจุลงที่ กองร้อย นนส.ที่ 3 กองพัน นร.ที่ 1 กรม นร. รร.นส.ทบ.ระยะเวลาการศึกษา 1 ปีถึง 30 เมษายน 2523 เป็นการศึกษาในหลักสูตรรวมเหล่า คือเรียนรู้ในทุกวิชาการของเหล่าทหารบกทั้งหมด การฝึกโหดเกินบรรยายสำหรับยุคสมัยนั้น เพราะยืนเข้าแถวอยู่เฉยๆ มีสิทธิโดนต่อยหลับกลางอากาศโดยไม่มีสาเหตุ และต้องพร้อมสำหรับการเข้านอนทั้งๆ ที่เนื้อตัวเสื้อผ้ายังมีขี้โคลนเกาะอยู่เขรอะไปทั้งตัวหูหัวไม่เว้น และที่จำไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้ก็คือการมุดเข้าไปในท่อระบายน้ำคอนกรีตเล็กๆ ขนาดพอดีตัวแล้วคลานตามกันไปเป็นระยะทางกว่า 3 เมตร หายใจแทบไม่ออกและก็ทำได้แค่กระดืบไปทีละนิดเหมือนตัวหนอน ใช้เวลานานเหมือนชั่วชีวิตกว่าจะหลุดพ้นออกไปได้ ทำให้เป็นโรคกลัวที่แคบจนถึงทุกวันนี้

ปีต่อมาใน 1 พฤษภาคม 2523 ก็เดินทางออกจากค่ายธนะรัชต์ทางรถไฟมาถึงสถานีรถไฟสามเสน มีการต้อนรับพอหอมปากหอมคอก่อนจะเดินทางเข้าไปที่ กองพัน นร. กรม นร. โรงเรียนทหารสารวัตร กรมการสารวัตรทหารบก พญาไท กทม. ซึ่งเป็นการศึกษาหลักสูตร นนส.ในชั้นปีที่ 2 เหล่า สห.ใช้ระยะเวลาการศึกษาอีก 1 ปี และสำเร็จการศึกษาเมื่อ 30 เมษายน 2524 ส่วนรูปภาพประกอบบล็อกนี้เป็นพิธีประดับเครื่องหมาย นนส.ชั้นปีที่ 2 และ ที่สำคัญยิ่งก็คือ เป็นพิธีประดับเครื่องหมายเหล่า ทหารสารวัตร แทนเครืองหมายดอกจันทร์ อันเป็นการเริ่มต้นชีวิตของเหล่าทหารสารวัตร อย่างสมบูรณ์ยาวนานสืบต่อมาจนถึงวันที่ลาออกจากราชการ จบเส้นทางชีวิตของ 30 ปี 6 เดือนในรั้วสีเขียว

ในวันที่สำเร็จการศึกษาเมื่อ 30 เมษายน 2524 ได้รับการแต่งตั้งยศเป็น สิบเอก จึงตัดสินใจเลือกหน่วยที่บรรจุเข้ารับราชการที่ หมวดสารวัตร จังหวัดทหารบกปราจีนบุรี(ส่วนแยกอรัญประเทศ) อันเป็นหน่วยต้นสังกัดเดิมที่เคยเป็น พลทหารกองประจำการมาแล้ว 2 ปีนั่นเอง ส่วนเหตุผลที่เลือกมาเป็น สห. ก็เพราะไม่อยากวิ่งหนี สห.อีกต่อไปแล้วครับ

และที่นี่เองก็เป็นการย้อนกลับมาในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนกำลังตึงเครียดถึงที่สุด มีการสู้รบเกิดขึ้นตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง มีขบวนการลักลอบขนสินค้าและค้าขายสินค้าหนีภาษีกันอย่างชุกชุม ส่งผลให้ประชาชนตามแนวชายแดนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐีกันหลายต่อหลายคน ขณะที่บางส่วนก็แปรสภาพเป็นผีไปไม่ใช่น้อย ทหารหลายคนก็มีส่วนร่ำรวยตามเค้าไปด้วยเช่นกัน(ยกเว้นผม) ขณะที่หลายคนก็ถูกจับกุม หลายคนถูกปลดออกจากราชการ และอีกหลายคนถูกฆ่าตาย หรือหายสาบสูญไปจากสารบบบัญชีของหน่วย

และแน่นอนว่า มีบรรดานักการเมือง ผู้บังคับหน่วยทหาร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่มีส่วนเกี่ยวพันในพื้นที่นี้ร่ำรวยกันไปหลายคนจากสถานการณ์ต่างๆ ช่วงนี้ และหลายคนก็กำลังเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในบ้านเมืองเวลานี้

เอาเป็นว่าผมจำไม่ได้ก็แล้วกันนะว่าใครบ้าง (ขี้เกียจย้ายบ้าน)

30 ปีครึ่งของช่วงชีวิตรับราชการได้เคยรำพันถึงมาบ้างแล้วในบางส่วนจากบทความ "30 ปี 6 เดือน" ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตการรับราชการ แต่โดยรวมแล้วระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงระยะเวลาในการรับรู้สภาพสังคมของการทำงาน ของการอยู่ร่วมกัน ของเพื่อนร่วมงาน ของแวดวงทหารอาชีพ ได้รับรู้ถึงแนวความคิด และสภาพความแตกต่างของชนชั้นในแวดวงสีเขียว และรับรู้ถึงความอยุติธรรม รับรู้ถึงพิษภัยของระบบอุปถัมภ์ที่ครอบงำสังคมไทยมาช้านาน

นั่นจะมาว่ากันทีหลังทีละช็อตครับ

ไม่มีความคิดเห็น: