วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วันหนึ่งที่ผ่านไป


บ้านหลังนี้หน้าตาก็เหมือนกับบ้านที่อยู่อาศัยทุกวันนี้แหละครับ เพียงแต่ว่ามันเป็นภาพกราฟฟิคจากคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่ภาพถ่ายจากกล้องหรือภาพวาด ฝีมือของลูกชายเมื่อตอนที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และสำเร็จการศึกษา ปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต(ภูมิสารสนเทศ) วท.บ.(ภูมิสารสนเทศ) หรือ  GIS เมื่อปี 2555 เป็นการสร้างภาพกราฟฟิคจากภาพถ่ายในส่วนสัดที่ถูกต้องตามความเป็นจริงทุกอย่าง มองผ่านๆ ยังนึกว่าของจริงเลย




เห็นขั้นตอนวิธีการสร้างแล้วนึกย้อนไปถึงช่วงปี 2516-2519 ซึ่งเข้าเรียนที่โรงเรียนการช่างปราจีนบุรี ในแผนกช่างก่อสร้าง วิชาที่ชอบมากที่สุดก็คือ กลศาสตร์ คณิตศาสตร์ช่าง และเขียนแบบ แต่ยุคสมัยนั้นเราเขียนแบบบนกระดาษเขียนแบบสีขาวแผ่นขนาด 1 เมตร จำได้ว่าถึงวิชาเขียนแบบทีก็ต้องวิ่งหาสตางค์ไปซื้อกระดาษทุกที ราคาในสมัยนั้นก็ไม่กี่บาทเอง และการเขียนก็ต้องบรรจงที่สุด ให้มีการแก้ไขน้อยที่สุด การลงเส้นเบาที่สุดจนแทบมองไม่เห็นก่อนที่จะมีการเน้นน้ำหนักลงไปเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วว่าใช้ได้และถูกต้อง เส้นแต่ละเส้นจะต้องมีความมั่นใจที่สุดก่อนที่จะลากเดินหน้าไปในแต่ละเส้น โดยเฉพาะงานร่างโครงสร้างของบ้านทั้งหลัง ซึ่งในทุกวันนี้เมื่อมีโอกาสก็ยังมีอารมณ์ที่จะทำมันอีก

ซึ่งบ้านหลังนี้ก็เกิดมาจากการร่างและออกแบบเองด้วยมือเมื่อปี 2540 ใช้เวลาเขียนไป 5 วันบนกระดาษ A4 จำนวน 7 แผ่นแล้วก็ส่งต่อไปให้ช่างดำเนินการก่อสร้างตามแบบร่างนั่นเองรวมเวลาก่อสร้างประมาณ 3 เดือนหมดงบประมาณไป 8 แสนกว่าบาท พื้นที่ของบ้านประมาณ 120 ตารางเมตร มี 2 ห้องนอน 1 ห้องทำงาน 1 ห้องรับแขก+พักผ่อน 2 ห้องน้ำ+ส้วม 1 ระเบียงพักผ่อน กับพื้นที่เดินเล่นรอบบ้านอีก 3 ไร่เศษ แต่บ้านนี้ยังออกแบบไว้ไม่เสร็จนะครับ เพราะห้องครัวจะต้องสร้างต่อออกไปอยู่ทางด้านหลัง กำหนดให้เป็นห้องครัว กับ ห้องน้ำ+ส้วมอีก 1 ห้อง และต่อเชื่อมออกมาทางด้านข้างเป็นพื้นที่สำหรับรับรองแขกได้อีกทางหนึ่ง ส่วนอีกด้านกำหนดให้เป็นโรงจอดรถก็ยังไม่เสร็จเช่นกัน เพราะหมดงบเสียก่อนและก็ระงับการสร้างไว้ก่อนที่จะบานปลายไปมากกว่านี้

ตอนนี้ลูกชายก็มีงานทำแล้ว(เป็นการชั่วคราว) ก็คงเป็นไปตามวัฏจักรของชีวิตผู้คนนั่นแหละ เนื่องจากนักศึกษาที่สำเร็จปริญญาตรีทั่วประเทศมีมากมายมหาศาล ต่างก็พากันตกงานกันถ้วนหน้านอกเสียจากว่ามีรากฐานฐานะทางบ้านดีอยู่แล้ว มีธุรกิจหรือกิจการส่วนตัวรองรับ มีเส้นสายในวงการธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ หรือในวงราชการ  เพราะงานราชการทั่วไปนั้นไม่ค่อยจะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้เข้าไปสัมผัสกล้ำกรายเอาเสียเลย นอกจากลูกท่านหลานเธอที่บางหน่วยทำงุบงิบปิดประกาศรับสมัครก่อนหมดเวลาสมัครวันเดียว แต่บางหน่วยเจ็บแสบกว่านั้นเอาประกาศรับสมัครมาปิดบนบอร์ดในวันเดียวกับที่จะมีการสอบคัดเลือกพอดี หรือไม่ก็เอามาติดพร้อมกับผลการสอบเลยทีเดียว ก็ติดดูแล้วกันว่าคนธรรมดาเดินดินทั่วไปจะมีปัญญาตรัสรู้อะไรได้บ้างเล่า

บ้านเราวันนี้ แม้แต่จะสมัครเข้าทำงานใน อบต.ก็ต้องมีเส้นสาย เป็นเด็กในสายของคนในโดยเฉพาะ หรือมีบัตรฝากจากท่าน ส.ส. ท่าน ส.จ.มาเป็นกรณีพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นหัวคะแนนใหญ่ก็ยิ่งมีบารมีแก่กล้าสามารถฝากลูกหลานท่านเข้าทำงานได้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องความรู้ความสามารถ จะมีหรือไม่มี ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะประเทศชาติไม่เคยได้มีโอกาสพึ่งพาบุคคลเหล่านี้แม้แต่น้อย งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ส่งออกไปถึงหน่วยราชการส่วนท้องถิ่น มากกว่าครึ่งสูญสลายไประหว่างทางอย่างไร้วี่แวว ส่วนที่เหลือไปถึงหน่วยงานก็ถูกจ้องมองตาเป็นมัน ผู้บริหารต่างก็มองหาช่องทางเข้าครอบครองส่วนที่เหลือนี้ด้วยวิธีการอันแยบยลหรือไม่ก็แบบหน้าด้านๆ 

สิ่งที่ชาวบ้านได้รับจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็คือ ความน่ารำคาญกับพิธีการและขั้นตอนในกรรมวิธีการดำเนินงานของทางราชการ และความว่างเปล่า

แทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาเลยในบางพื้นที่ นอกจาก นายก อบต.มีลูกหลานเป็นสมาชิก อบต. มีน้องชายเป็น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีลุงเป็นเจ้าอาวาส มีลูกสาวเป็น ผอ.โรงเรียน และมีลูกบ้านในตำบลนั้นเกือบ 700 คนมีนามสกุลเดียวกัน การแข่งขันกันก็อาจจะเป็นของคนนามสกุลเดียวกันในทุกครั้ง

นามสกุลจึงกลายเป็นคำตอบในการเลือกตั้งหลายต่อหลายครั้ง เช่นเดียวกับการเลือก ส.ส.ของหลายๆ จังหวัดในบ้านเราที่คนเดิมๆ มักจะผ่านการคัดเลือกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆ ที่บางคนไม่เคยมีผลงานอะไรเลยสักอย่างในชีวิตนักการเมือง บางคนได้เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ก็ยังสะเออะมาคุยฟุ้งว่าประชาชนเลือกเข้ามา ทั้งที่ความจริงแล้วมีคนเกลียดขี้หน้าค่อนประเทศ แต่บังเอิญทำงานรับใช้ ถูกใจ "เจ้าของพรรค" เค้าเลยยัดรายชื่อซุกๆ เข้ามาเพราะรู้ดีว่าถ้าส่งไอ้หมอนี่ลงสมัครด้วยตัวเอง ชาตินี้จนถึงชาติหน้า ก็คงไม่มีใครลงคะแนนให้มัน  ...แม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง

โล่งใจอยู่บ้างที่แถวบ้านไม่มีญาติพี่น้องคนไหนเล่นการเมือง แม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็แทบไม่มี ส่วนมากจะเป็นสายงานธุรกิจส่วนตัว หรือ รับจ้างทั่วไปมากกว่า อาจจะมีบางท่านไปเป็นครูบาอาจารย์ นักวิชาการ แต่ก็เงียบสงบไม่สร้างข่าวคราวครึกโครม ยกเว้นอยู่เรื่องเดียวเวลาเข้ากูเกิ้ลแล้วค้นหา "เพชรรัตน์" เป็นต้องเจอน้องปอยนำหน้ามาโด่งเลย  มีระยะหลังๆ นี่เริ่มมี น้องพริม เพชรรัตน์ นักร้องวัยรุ่นเข้ามาทดแทนไปบ้าง ตามมาด้วย โรงพยาบาล สถานประกอบการแทบทุกชนิด และรวมไปถึง "ตำนานเพชรรัตน์" ที่เคยพูดถึงไปแล้ว บ้างก็เป็นชื่อถนน ชื่อซอย จิปาถะ และที่ฮิตมากที่สุดก็คือนำไปตั้งเป็นชื่อตัวเสียเลย 

คำว่า เพชรรัตน์ (เพ็ด-ชะ -รัต) ประกอบด้วยคำว่า เพชร กับ รัตน์. คำว่า รัตน์ แปลว่า แก้ว. 
เพชรรัตน์ แปลว่า แก้วที่เป็นเพชร . 
คำว่า เพชรรัตน์ ออกเสียงเป็น ๓ พยางค์ ให้ ช ซึ่งเป็นตัวสะกดของพยางค์ที่ ๑ ออกเสียงเป็นพยางค์ที่ ๒ ในลักษณะที่เป็นเสียงเชื่อมอย่างพยางค์เบา ส่วนตัว ร ไม่ออกเสียง. 
คำที่ขึ้นต้นด้วย เพชร และออกเสียงอย่าง เพชรรัตน์ มีหลายคำ เช่น เพชรกลับ (เพ็ด-ชะ -กฺลับ) และ เพชรหลีก (เพ็ด-ชะ -หลีก) ซึ่งเป็นชื่อว่าน. เพชรหึง (เพ็ด-ชะ -หึง) หมายถึง ลมพายุใหญ่และเป็นชื่อกล้วยไม้. เพชรฤกษ์ (เพ็ด-ชะ -เริก ) หมายถึง ฤกษ์ยามที่ถือว่าเป็นฤกษ์แข็ง. เพชรบูรณ์ (เพ็ด-ชะ -บูน) แปลว่า เต็มไปด้วยเพชร เป็นชื่อจังหวัดหนึ่งของไทย. เพชรดา (เพ็ด-ชะ -ดา) หมายถึง ความแข็ง ความอยู่ยงคงกระพัน. 
คำทั้งหมดนี้อ่านเป็น ๓ พยางค์ ๒ พยางค์แรกอ่านว่า เพ็ด-ชะ ไม่ออกเสียง ร 
(ที่มา : บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.)

วันว่าง ... อารมณ์กลับไม่เคยว่าง









ไม่มีความคิดเห็น: