วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คุณค่าของเวลา


กาลเวลาที่ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของชีวิตผ่านมา 57 ปีแล้วได้มีโอกาสรับรู้รสชาติหลากหลายที่แวะเวียนเข้ามาสัมผัสเพื่อทดสอบจิตใจไม่หยุดหย่อน ซึ่งในการต่อสู้ฟันฝ่าเรื่องต่างๆ บางครั้งก็ต้องยอมรับถึงความเสียใจในการตัดสินใจของตนเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดๆ ก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้วจำต้องยอมรับผลทุกอย่างที่จะติดตามมา โดยไม่มีหนทางที่จะแก้ไข เพราะความผิดพลาดบางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่เจตนาและไม่รู้เท่าทันต่อสถานการณ์นั้นๆ 

แต่ในบางครั้งความผิดพลาดเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจเพื่อผวังผลบางประการ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ย่อมไม่มีความเสียใจเนื่องจากมีเวลาพอที่จะคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลอะไรติดตามมา และยินดีที่จะรับผลตอบแทนนั้นด้วยความเต็มใจ แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่ไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นคือ กาลเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ความหมายอันเป็นช่วงเวลาที่ต้องมานั่งเสียใจในทุกครั้งเมื่อมาย้อนระลึกถึง

ชีวิตมนุษย์ในความเข้าใจของเราเองควรจะมีอยู่เพียง 3 ช่วงเวลา คือ
ช่วงต้นของชีวิต  ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 20 ปีเป็นช่วงเวลาของการศึกษา การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชีวิตและการกำหนดจุดหมายปลายทางไว้
ช่วงกลางของชีวิต  ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปี จนถึงอายุ 50 ปี เป็นช่วงเวลาของการทำงาน เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัว เพื่อสังคมโดยรวม และเพื่อประเทศชาติ
ช่วงสุดท้ายของชีวิต  เริ่มต้นเมื่ออายุ 50 ปี สมควรที่จะเป็นช่วงเวลาของการถ่ายทอดประสบการณ์ไปสู่ลูกหลานหรือผู้คนรุ่นต่อไป และเหลือไว้ให้กับการพักผ่อนด้วยการลงมือทำในสิ่งที่ตนต้องการจะทำหรือต้องการจะไม่ทำอย่างอิสระ

อายุโดยเฉลี่ยของผู้คนในประเทศนี้สมัยปัจจุบันยุคอารยธรรมเฟื่องฟู สำหรับประชาชนคนเดินดินที่ไม่ได้ร่ำรวยหรือมากด้วยวาสนาจะอยู่ในช่วงประมาณ 60 ปีเท่านั้น สำหรับชาวบ้านที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่โชคดีกว่าผู้อื่นเพราะผู้คนในประเทศนี้พร้อมที่เสียชีวิตด้วยเหตุต่างๆ ตั้งแต่เกิดมาได้เพียง 1 วินาทีและมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยปัจจัยต่างๆ ในทุกวินาที

นับครั้งไม่ถ้วนในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ที่ต้องไปร่วมงานศพของผู้ที่เสียชีวิตด้วยเหตุต่างๆ ตั้งแต่อายุไม่กี่เดือนจนถึง 50 ปี ทั้งจากโรคภัยใช้เจ็บและอุบัติเหตุอันเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด หลายคนมีอนาคตที่สวยหรูรออยู่ข้างหน้า หลายคนเป็นคนดีมีผู้เคารพนับถือมากมาย แต่ความตายคงไม่มีเวลามาเลือกสรรด้วยเรื่องเหล่านี้ ทำให้คนไม่ดีหลายๆ คนยังพากันเสวยสุขอยู่ได้นานแสนนานจนอายุเกินกว่า 80 - 90 ปี

ต้องยอมรับอย่างสนิทใจว่าพออายุเกิน 50 ปีมาแล้วนาฬิกาดูจะเดินเร็วมากขึ้นจนผิดสังเกตุ พอเอนตัวลงนอนประเดี๋ยวเดียวก็ตื่นนอนเสียแล้วนั่งคิดอะไรเล่นแวบเดียวก็มืดอีกแล้ว กินข้าวเช้าไปไม่ทันจะย่อยก็เที่ยงอีกแล้ว พอกินข้าวกลางวันเสร็จนอนเล่นซักพักก็ต้องลุกมากินข้าวเย็นอีกแล้ว

เวลาไม่เคยรอใครทั้งสิ้น
ทำให้นึกไปถึงพวกที่โกงกินประเทศชาติ
มันไม่เคยเบื่อเลยหรือยังไงนะ
ที่สวาปามอะไรต่อมิอะไรเข้าไปไม่ได้หยุดหย่อน
รวยแล้วรวยเล่าไม่ได้มีวันหยุด
มันจะขนเอาไปใช้ที่ไหนกันนักหนา

แต่เชื่อได้ว่ามันคงสะสมเอาไปซื้้อเวลาที่จะอยู่ต่อไปนั่นเอง
ขออวยพรให้สำเร็จนะครับท่าน

ไม่มีความคิดเห็น: