วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กาลเวลา


ก็ยืนยันได้ว่า เพชรรัตน์ เส้นทางนี้ สำหรับรุ่นนี้ยังคงมีเหลืออยู่ครบทั้ง 5 คนพี่น้องโดยมีอวัยวะครบ 32 ทุกประการ นอกจากจะมีอายุเพิ่มมากขึ้นแล้วทุกๆ คนดูจะมีไขมันเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย มากน้อยตามอัธยาศัย และแน่นอนว่าทุกคนต่างก็มีครอบครัวของตนเอง มีภูมิลำเนาที่กระจัดกระจายกันออกไป มีอาชีพการงานที่แตกต่างกันออกไปไม่มากก็น้อย

การพบปะกันครบทั้ง 5 คนในครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ภายหลังจากงานศพของคุณแม่เยื้อ เพชรรัตน์ เมื่อพฤษภาคม 2539 และในการพบกันครั้งนี้ในเดือนตุลาคม 2555 ก็เป็นงานศพของหลานชายคนหนึ่ง น้องโจ้ นายโสรัตน์ อินทศรี ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของ นายอุดร และนางจงรัก รายละเอียดจะไปอยู่ในบล็อก http://wangyao214.blogspot.com/2012/10/blog-post.html

ผมเชื่อว่าอาจจะมีหลายๆ คนที่พยายามค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของนามสกุล ซึ่งหากมีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หรือถ่ายทอดลงมาสู่รุ่นลูกหลานด้วยวาจาและมีการบันทึกไว้ก็จะเป็นหลักฐานที่มีคุณค่า สามารถยืนยันได้มั่นคงชัดเจนกว่าการคาดเดาแบบที่ผมกระทำอยู่ อันเนื่องมาจากการละทิ้งถิ่นฐานของบรรพบุรุษนี่เอง

ประกอบกับในสถานการณ์ทุกวันนี้ การขอเปลี่ยนแปลงนามสกุลสามารถกระทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดมาประกอบ เพียงแต่เจ้าของนามสกุลเซ็นต์ยินยอมให้ใช้ได้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในทันที

เรื่องราวเหล่านี้ปรากฎบ่อยครั้งในเขตรอยต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนมากจะเป็นฝั่งขวา ทั้ง ลาวและเขมร เคยปรากฎข่าวคราว การจับกุมข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำสำเนาทะเบียนราษฎร์ว่ามีการปลอมแปลงเอกสารทะเบียนบ้าน จัดทำบัตรประชาชนปลอมมากมายตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และผู้ถูกจับกุมก็มีตั้งแต่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์ ปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียน นายอำเภอ รองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด และมีผู้เกี่ยวข้องจนถึง อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งไม่ใช่จะจบลงเพียงเท่านั้น เพราะบรรดาผู้หลบหนีเข้าเมืองเหล่านี้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตามการจัดการของนักการเมืองบางคน เพื่อนำบุคคลเหล่านี้มาเป็นแรงงานในกิจการของตน หรือแม้แต่การนำพาเข้ามาเป็นฐานเสียงของตนในทางการเมืองอีกด้วย

การคุ้มครองดูแลนามสกุลของตัวเอง เป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าที่จะคาดคิด
มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนามสกุลมาแล้ว ถูกจับกุมในข้อหาทุจริตการของพระราชทานเครื่องราชย์อิสริยาภรณ์ตามที่เคยเป็นข่าวหน้า 1 มาเมื่อหลายสิบปีก่อนนี้
มันไม่ใช่การใช้นามสกุลนี้เพื่อเอามาเป็นนามสกุลปลอมในการเข้าประกวดนางงามประเภทสอง

แต่เป็นการเข้ามาใช้นามสกุลเก่าแก่ที่มีผู้ทรงสิทธิที่สมบูรณ์อยู่เป็นจำนวนมากทั่วประเทศไทย(รวมถึงในต่างประเทศ) เพื่อให้การสวมรอยแทรกซึมเข้ามาร่วมใช้เป็นไปอย่างกลมกลืนจนไร้ช่องโหว่ ด้วยความร่วมมือของฝ่ายปกครอง

เครือญาติใกล้ชิดเท่านั้นที่จะสามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องได้อย่างมั่นใจ จากรุ่นขึ้นไปสู่อีกรุ่นด้วยวาจา ด้วยบันทึก และเมื่อสูงขึ้นไปจนถึงรุ่นทวดของปู่ คงจะต้องอาศัยวิจารณญานละครับ

แต่ของปลอมน่ะเพิ่งจะเริ่มต้นไม่ถึง 30 ปีแน่นอน คงยังพอจะตรวจสอบได้นะครับ
ใครจะเริ่มก็เชิญครับ ผมเอาใจช่วย

เพราะผมเองมีความตั้งใจจะรักษาหลักฐานไว้เพียงเท่าที่สามารถจะทำได้
เฉพาะร่องรอยความเป็นไปของ บรรดา ปู่ ย่า น้องชาย น้องสาว ของคุณพ่อ
ผมยังอับจนปัญญาเลยครับ
มีแต่ข้อสันนิษฐานว่า น่าจะ.......เท่านั้นเอง



ไม่มีความคิดเห็น: