วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

30 ปี 6 เดือน


ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อครั้งที่ยังเป็น รอง ผบ.ร้อย.สห.จทบ.ส.ก.(อัตรา ร.อ.) ตั้งแต่ 6 มีนาคม 2541 แล้วก็ไปนั่งควบในตำแหน่ง รรก.ผบ.รจ.จทบ.ส.ก.อีกตำแหน่งหนึ่ง จนในที่สุดก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ผบ.ร้อย.สห.จทบ.ส.ก.(อัตรา ร.อ.) ตั้งแต่  26 เมษายน 2544 โปรดสังเกตุว่า ยศยังคงเป็น ร.อ.เช่นเดิม เนื่องจากในปีนั้น กองทัพบกได้มีนโยบายปรับอัตรากำลังพลจากเดิม ผบ.ร้อย.สห.อัตรา พ.ต. ให้ปรับลดลงเป็นอัตรา ร.อ. โดยมีตัวเราเป็นผู้โชคดีได้รับการปรับลดยศเป็นคนแรก และการปฏิบัติหน้าที่สองตำแหน่งสามตำแหน่งพร้อมๆ กันจึงเป็นสิงที่ต้องพบเจออยู่เป็นประจำเรื่อยมา

จนถึงวันที่ได้รับการเลื่อนยศเป็น พ.ต.ในตำแหน่ง  นสห.จทบ.ส.ก. ตั้งแต่ 9 มกราคม 2547  และพร้อมๆ กับการได้รับการแต่งตั้งให้ รรก.นสวส.จทบ.ส.ก.อีกตำแหน่งหนึ่ง โดยทำหน้าที่เป็นนายทหารฝ่ายกฎหมายของหน่วยไปโดยอัตโนมัติ   สถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงวันที่ลาออกจากราชการใน 2 ตุลาคม 2550

และจนกระทั่งถึงวันนี้ 5 กรกฎาคม 2556 ตำแหน่งทั้งสองที่เราเคยปฏิบัติหน้าที่อยู่ก็ยังคงว่างอยู่ดังเดิม เป็นการยืนยันถึงความห่างเหินของสายงานการบังคับบัญชากับความขาดแคลนกำลังพลที่เกิดขึ้นมาโดยเจตนาของผู้บังคับบัญชา โดยอ้างถึงเหตุผลเพื่อพัฒนาหน่วยทหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำให้หน่วยทหารมีขนาดเล็กลง ด้วยการลดกำลังพลโดยอนุมัติให้มีการลาออกของข้าราชการทหารที่อายุเกินกว่า 50 ปี

แต่สิ่งหนึ่งที่กองทัพไม่ได้คิดถึงก็คือ การปิดอัตรากำลังพลที่ลาออกไปโดยไม่มีการบรรจุทดแทน ก็เหมือนกับเป็นการเพิ่มงานให้กับคนที่ยังคงรับราชการอยู่เป็นทวีคูณ จากเดิมที่มีงานอยู่มากมายกลับกลายเป็นมากมายมหาศาล นั่นคือ กำลังพลประเภทนายทหารชั้นประทวน หรือนายทหารชั้นสัญญาบัตรที่ยศต่ำกว่า พ.ท.

ในขณะที่กำลังพลประเภทชั้นนายพลที่ไม่มีตำแหน่งประจำกลับมากมายจนล้นพื้นที่ที่มีอยู่ในกองทัพจนต้องมีการขยับขยายอัตรา ผู้บังคับหน่วย รอง ผบ.หน่วย เสนาธิการ ให้มีระดับยศสูงขึ้น (โดยไม่มีความจำเป็น) หรือในบางครั้งก็ถึงขนาดจัดตั้งหน่วยใหม่ในระดับกองพลหรือเทียบเท่าขึ้นมารองรับอัตรา (โดยไม่มีความจำเป็นยิ่งกว่าเดิม) แล้วก็แบ่งอัตรากำลังพลมาจากหน่วยอื่นๆ หรือไม่ก็ทำการเปิดหน่วยงานใหม่ขึ้นมาแต่เป็นหน่วยโครง นั่นหมายความถึงมีการเปิดบรรจุเฉพาะอัตรา ผบ. รอง ผบ. เสธ. รอง เสธ. และ พลขับ ส่วนสถานที่ทำงานก็อาศัยชื่อหน่วยงานอื่นๆ เปิดห้องทำงานให้สักห้องหนึ่ง

นี่คือการแก้ปัญหาเรื่องอัตรากำลังพลล้นงานของกองทัพ
ทั้งที่ความจริงแล้วปัญหามันเกิดขึ้นในส่วนหัวเท่านั้น
แต่ส่วนหางนั้นมันเกิดปัญหางานล้นท่วมหัวคนมากกว่า
เพราะคนสั่งงานมันมากกว่าคนทำงาน ครับผม

ผมเริ่มชีวิตในรั้วสีเขียวตั้งแต่
เป็นพลทหารกองประจำการ เมื่อ 1 พฤษภาคม 20 - 30 เมษายน 2522
เป็น นักเรียนนายสิบ เมื่อ 11 พฤษภาคม 2522 - 29 เมษายน 2524
เป็น สิบเอก เมื่อ 30 เมษายน 2524
เป็น จ่าสิบตรี เมื่อ 1 ตุลาคม 2525
เป็นจ่าสิบโท เมื่อ 1 ตุลาคม 2526
เป็น จ่าสิบเอก เมื่อ 1 ตุลาคม 2527
เป็น ว่าที่ ร.ต.เมื่อ 9 พฤษภาคม 2533
และแน่นอนว่า ผมเป็น ทหารเหล่า สห.
ทำหน้าที่ "รบ" กับทหารที่แตกแถวเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็น พวกขี้เหล้า เมาระราน เกะกะ ชาวบ้าน ค้ายา ค้าของหนีภาษี หรือกระทำผิดกฎหมายสารพัดรูปแบบ ผมมีหน้าที่พาทหารเหล่านี้เข้าไปอยู่ในคุกทหาร หรือไม่ก็เป็นคุกพลเรือน หรือไม่ก็ไปรับโทษตามกฎหมายของบ้านเมือง "ตั้งแต่ เสียค่าปรับ ไปจนถึง โทษประหารชีวิต"

ผมเป็นทหารที่เริ่มเบื่อระอากับความแตกแยกทางความคิดของผู้คนในสังคม
แล้วก็มองทหารเป็นเพียงเครื่องมือในการปลุกระดม
มองทหารเป็นเพียงชิ้นส่วนในการเติมเต็ม "ตัณหา" ในทางการเมือง
แล้วก็มองเห็นถึง "อำนาจ" ที่ทหารยึดครองอยู่

ชีวิตของการเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรชี้ทางสว่างให้เกิดกับชีวิตมากมาย ทำให้เรียนรู้ว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหากมองไม่เห็นจุดหมาย และรู้ดีว่ามีอุปสรรคขวางกั้นชีวิตของทกคนเหมือนๆ กัน เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถและความพยายามในการดิ้นรนแสวงหาความสำเร็จ

แต่ไม่จำเป็นที่เราจะต้องก้าวข้ามอุปสรรคนั้น
และไม่จำเป็นที่เราจะต้องทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จ
เราสามารถหยุดยั้งการสร้างความหวังของตัวเองได้

ขอแต่เพียงให้เรารู้จักพอเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น: